ผลจากการใช้สาร Ethephon ต่อผลผลิต คุณภาพน้ำยาง และคุณสมบัติเนื้อไม้ยางพารา

Effect of Ethephon on Yield , Quality of Latex and Property of Para Rubber Wood

รายละเอียดโครงการ

ปีงบประมาณ 2558
หน่วยงานเจ้าของโครงการ
ลักษณะโครงการ โครงการใหม่
ประเภทโครงการ โครงการชุด
ประเภทงานวิจัย
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) 1 มกราคม 2556
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) 1 มกราคม 2558
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) 1 มกราคม 2556
ประเภททุนวิจัย งบประมาณแผ่นดิน
สถานะโครงการ สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว)
เลขที่สัญญา
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา ไม่ใช่
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม ไม่ใช่
บทคัดย่อโครงการ ยางพารา (Heveabrasiliensis. Mull-Arg) เป็นพืชเศรษฐกิจของไทย จากสถานการณ์การปลูกปาล์มน้ำมันล่าสุดในปี 2553 พบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางพารา จำนวน 17,959,403 ไร่ เนื้อที่ที่กรีดได้ จำนวน 12,049,102 ไร่ มีผลผลิตโดยรวม จำนวน 3,051,781 ตัน มีมูลค่าการส่งออก 296,379 ล้านบาท (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2555) การเคลื่อนไหวราคายางพาราได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้ยางของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนเป็นผู้นำเข้ายางธรรมชาติมากที่สุดในโลกจึงส่งผลให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกษตรกรชาวสวนยางเกษตรกรนำระบบการกรีดยางร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน้ำยาง จึงเกิดปัญหาที่ตามมาของการใช้สารเคมีเร่งน้ำยาง กับต้นยางพาราที่มีอายุน้อย ซึ่งอาจมีผลต่อการเพิ่มผลผลิต คุณภาพ และสมบัติของไม้ยางพาราหรือไม่อย่างไร ซึ่งการใช้สารเร่งดังกล่าวยังมีคำถามและเป็นโจทย์ที่เกษตรกรผู้ใช้ ยังต้องการหาคำตอบและองค์ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่เกษตรกร เช่น จะใช้สาร ethephonความเข้มข้นระดับใดเหมาะสมที่สุด และใช้กับยางพาราอายุเท่าไร จึงจะเหมาะสม ผลการวิจัยพบว่าการใช้เอทธิลีนไม่ส่งผลกระทบต่อสมบัติเชิงกลของไม้ยางพาราอย่างชัดเจนไม้ยางพาราจัดอยู่ในไม้ประเภทเนื้ออ่อนของไม้ก่อสร้างชั้น 2 ตามพ.ร.บ. ควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 และมาตรฐานวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)ไม้ยางพาราบริเวณส่วนโคนของลำต้นมีสมบัติเชิงกลที่ดีกว่าส่วนปลายเนื่องจากไม้ส่วนโคนต้นมีความแน่นมากกว่าส่วนปลายและจากการใช้สารเอทธิฟอนและสารเอทธิลีนที่ระดับความเข้มข้นต่างกันคือ 0 2.5 5 10 เปอร์เซ็นต์การใช้เอทธิลีน 99.90 เปอร์เซ็นต์ร่วมกับระบบกรีดและการใช้เอทธิลีน 99.90 เปอร์เซ็นต์ร่วมกับระบบเจาะต้นกับต้นยางพาราพันธุ์RRIM 600 มีผลต่อน้ำหนักยางแห้งสุทธิต่อต้นต่อครั้งกรีดมีแนวโน้มไม่แตกต่างกันทางสถิติกับต้นที่ไม่ใช้สารยางคอมปาวด์ที่เตรียมจากยางแผ่นรมควันที่ได้จากการกรีดทั้งสามระบบไม่มีผลต่อสมบัติวัลคาไนซ์ของยางคอมปาวด์ทั้งเวลาวัลคาไนซ์ก่อนกำหนด (Ts1) เวลาในการวัลคาไนซ์ (Tc90) อัตราเร็วในการวัลคาไนซ์ (CRI) และความหนืดของยางคอมปาวด์สารเร่งน้ำยางที่ใช้กับต้นยางพาราไม่มีผลต่อค่าสมบัติของยางวัลคาไนซ์ที่ได้จากการเตรียมจากยางแผ่นรมควันที่ได้จากการกรีดทั้งสามระบบโดยทุกตัวอย่างมีสมบัติความแข็ง (Hardness) 300% โมดูลัส (300% Modulus) ความต้านทานต่อแรงดึง (Tensile strength) และความสามารถในการยืดที่ไม่แตกต่างกันโดยทั้งสามระบบจะให้ค่าที่ใกล้เคียงกันโดยปริมาณกรดไขมันที่ระเหยได้มีแนวโน้มเปลี่ยนตามฤดูการกรีดโดยฤดูกรีดที่มีฝนน้อยจะให้ค่าปริมาณกรดไขมันระเหยได้ต่ำกว่าฤดูที่มีฝนมากซึ่งบอกถึงคุณภาพของน้ำยางที่กรีดในฤดูที่มีฝนมากจะให้น้ำยางที่มีคุณภาพต่ำดังนั้นคณะนักวิจัย จึงมีแนวคิดในการศึกษาทดลองผลของการนำสารเร่งน้ำยาง มาใช้ในการเร่งน้ำยาง ว่าอายุของต้น ความเข้มข้นของสารมีผลกระทบต่อผลผลิต คุณภาพของน้ำยางพารา และคุณสมบัติของเนื้อไม้หรือไม่ เพื่อนำผลมาช่วยในการเพิ่มผลผลิตยางพารา และเป็นแนวทางในการเพิ่มผลผลิตยางพาราได้อีกทางหนึ่งในอนาคต
รายละเอียดการนำไปใช้งาน
เอกสาร Final Paper(s)
  • -

ทีมวิจัย

ที่ นักวิจัย หน่วยงาน ตำแหน่งในทีม การมีส่วนร่วม (%)
1ดร. เอกวิทย์ เพียรอนุรักษ์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราชหัวหน้าโครงการ100