โครงการวิจัย
การประยุกต์ใช้น้ำยางธรรมชาติความหนืดต่ำซิลิกามาสเตอร์แบทร่วมกับ น้ำยางคลอโรพรีนในอุตสาหกรรมยางรองพรม
The Applications of Low Viscosity Natural Rubber Latex with Silica Masterbatch in Natural Rubber Latex and Chloroprene Latex Blends for Rubber Carpet Underlay Industry
รายละเอียดโครงการ
ปีงบประมาณ | 2560 |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ | |
ลักษณะโครงการ | โครงการใหม่ |
ประเภทโครงการ | โครงการเดี่ยว |
ประเภทงานวิจัย | |
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2559 |
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2560 |
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2559 |
ประเภททุนวิจัย | งบประมาณแผ่นดิน |
สถานะโครงการ | สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว) |
เลขที่สัญญา | |
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา | ไม่ใช่ |
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม | ไม่ใช่ |
บทคัดย่อโครงการ | การเตรียมยางฟองน้ำจากยางธรรมชาติผสมสารตัวเติมและผงกากยางรถยนต์ โดยใช้เทคนิคดัลลอป วัตถุประสงค์ของงานนี้เพื่อศึกษาการใช้ผงกากยางรถยนต์เป็นสารตัวเติมในยางฟองน้ำจากยางธรรมชาติ โดยศึกษาผลของปริมาณและขนาดของผงกากยางรถยนต์ต่อสมบัติของยางฟองน้ำจากยางธรรมชาติ งานวิจัยนี้สนใจศึกษาสมบัติเชิงกล ความหนาแน่น การหดตัว การยุบตัว และการผิดรูปถาวรหลังการกดของยางฟองน้ำจากยางธรรมชาติ โดยทำการเปรียบเทียบสมบัติของยางฟองน้ำระหว่างการใช้ผงกากยางรถยนต์เปรียบเทียบกับการใช้ซิลิกาและแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นสารตัวเติม สมบัติความต้านทานต่อแรงดึง และความสามารถในการยืด ณ จุดขาดของยางฟองน้ำมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อขนาดของผงกากยางรถยนต์มีขนาดเล็กลง และการเพิ่มปริมาณของผงกากยางลดลงมากขึ้นจะส่งผลให้สมบัติความต้านทานต่อแรงดึงและความหนาแน่นมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย จากการทดลองชี้ให้เห็นว่าผงกากยางรถยนต์ที่มีขนาดเล็กเมื่อใช้เป็นสารตัวเติมในยางฟองน้ำจะให้ความเป็นอิลาสติกได้ดีกว่าแต่การคืนตัวหรือการคืนรูปของยางฟองน้ำจะมีค่าลดลงเมื่อปริมาณผงกากยางรถยนต์ที่ใช้มีค่ามากขึ้น การใช้สารตัวเติม ซิลิกา และแคลเซียมคาร์บอเนต ร่วมกับผงกากยางรถยนต์ในสูตรยางฟองน้ำจะส่งผลให้สมบัติของยางฟองน้ำลดลง ลักษณะเซลของยางฟองน้ำที่เตรียมได้จะมีลักษณะเป็นแบบ เซลเปิด คำสำคัญ มาสเตอร์แบท ซิลิกา ยางคลอโรพรีน ยางธรรมชาติ ยางรองพรม |
รายละเอียดการนำไปใช้งาน | สรุปผลการวิจัย 4.1.1 สมบัติของยางฟองจากน้ำยางธรรมชาติ 4.1.1.1 ผลของอุณหภูมิในการบ่มคอมปาวด์น้ำยาง การเพิ่มปริมาณ SSF มีผลให้ระยะเวลาการเจลของฟองยางลดลง การใช้ SSF ที่ 0.50 phr ให้ระยะเวลาการเจลประมาณ 2 นาที ซึ่งเหมาะสมสำหรับการทำให้ฟองยางมีการคงรูปก่อนการวัลคาไนซ์ ที่ปริมาณการใช้ SSF น้อยกว่า 0.50 phr และการบ่มคอมปาวด์ที่อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้การตีฟองยางทำได้ยากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้น้ำยางเกิดปฏิกิริยาการคงรูปบางส่วน ระยะเวลาในการเจลจึงลดลงและความยืดหยุ่นของคอมปาวด์ยางลดลง การบ่มคอมปาวด์ที่อุณหภูมิห้องแม้จะสามารถตีฟองขึ้นรูปเป็นฟองยางที่สมบูรณ์ได้ แต่ฟองยางมีความสม่ำเสมอต่ำ มักเกิดการยุบตัวและให้คุณภาพของฟองยางที่ได้มีความแปรปรวนของสมบัติมาก การเพิ่มอุณหภูมิในการบ่มที่ 50oC ทำให้ลักษณะการเกิดฟองยางมีขนาดฟองที่ไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่การบ่มที่ 70oC ทำให้คอมปาวด์น้ำยางเกิดปฏิกิริยาการคงรูปบางส่วน มีความหนืดมากขึ้นและความยืดหยุ่นของคอมปาวด์ลดลง ทำให้ความสม่ำเสมอของขนาดฟองยางน้อยลงและได้ฟองยางมีขนาดเล็กเนื้อแน่น สำหรับคอมปาวด์น้ำยางที่ใช้ SSF ปริมาณ 0.50 phr เฉพาะการบ่มที่อุณหภูมิห้อง และอุณหภูมิ 40 oC เท่านั้นที่สามารถตีฟองขึ้นรูปเป็นฟองยางที่สมบูรณ์ได้ ส่วนคอมปาวด์ที่บ่มที่อุณหภูมิสูงลักษณะฟองยางที่ได้จะเป็นเนื้อแป้งไม่มีสมบัติความยืดหยุ่น 4.1.1.2 ผลของระยะเวลาในการบ่มคอมปาวด์น้ำยาง เมื่อเพิ่มระยะเวลาในการบ่มเปอร์เซ็นต์การบวมพองของยางลดลง ปริมาณพันธะที่เกิดยังอยู่ในระดับที่ไม่ถือว่ายางเกิดการวัลคาไนซ์ทำให้ยังสามารถตีฟองขึ้นรูปเป็นฟองยางได้ ระยะเวลาในการเจลของฟองยางลดลงตามระยะเวลาในการบ่มคอมปาวด์ที่เพิ่มขึ้น การเชื่อมโยงระหว่างโมเลกุล ทำให้ความเสถียรของคอมปาวด์น้ำยางลดลง การตีฟองขึ้นรูปฟองยางทำได้ยากขึ้น การแปรระยะเวลาในการบ่มคอมปาวด์น้ำยางที่อุณหภูมิห้อง เมื่อระยะเวลาในการบ่มคอมปาวด์เพิ่มขึ้นจะให้ฟองยางมีความสม่ำเสมอมากขึ้น คุณภาพของฟองยางที่ได้มีความแปรปรวนของสมบัติน้อย และการเพิ่มระยะเวลาในการบ่มเกิน 20 ชั่วโมง จะให้ผลในทำนองเดียวกับที่อุณหภูมิ 40 oC พบว่าน้ำยางมีความหนืดเพิ่มขึ้น ความเสถียรของคอมปาวด์น้ำยางลดลงการตีฟองขึ้นรูปฟองยางทำได้ยากขึ้น ลักษณะสัณฐานวิทยาของฟองยางที่กำลังขยาย 40 เท่า แสดงให้เห็นถึงฟองยางที่มีขนาดเล็กลง ทำให้ได้ฟองยางที่มีเนื้อแน่นและแข็งขึ้น อย่างไรก็ตามการบ่มที่อุณหภูมิห้องให้ฟองยางมีความหนาแน่นต่ำกว่าการบ่มที่อุณหภูมิ 40 oC เนื่องจากอุณหภูมิการบ่มที่ต่ำกว่าทำให้ยางมีพันธะการเชื่อมโยงเกิดขึ้นน้อยกว่า อากาศจึงเข้าไปในเนื้อยางได้ง่ายกว่า สำหรับคอมปาวด์น้ำยางที่ใช้ SSF ปริมาณ 0.50 phr การบ่มที่อุณหภูมิห้อง เวลาในการบ่ม 12 ถึง 20 ชั่วโมง และที่อุณหภูมิ 40 oC เวลาในการบ่ม 1 ถึง 2 ชั่วโมง จะให้ระยะเวลาในการเจลที่เหมาะสมสำหรับการขึ้นรูปฟองยาง และให้ลักษณะฟองยางที่มีสมบัติทางกายภาพที่ดีกว่าการบ่มที่เวลาอื่นๆ 4.1.1.3 ผลของสารตัวเติมต่อสมบัติยางฟองน้ำจากคอมปาวด์น้ำยาง เมื่อปริมาณซิลิกาเพิ่มจาก 0 ถึง 30 phr ทั้งแบบใช้และไม่ใช้สารทนไฟ ส่งผลให้ความหนาแน่นของยางฟองน้ำมีค่าเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มปริมาณซิลิการ่วมกับการใช้ Antimony trioxide จะให้ความหนาแน่นสูงกว่าแบบไม่ใช้ ปริมาณซิลิกาที่เพิ่มขึ้นทำให้ยางฟองน้ำเกิดการหดตัวและยุบตัวสูงขึ้น การใช้สารตัวเติมซิลิกาแบบไม่ใช้สารทนไฟ เมื่อเพิ่มปริมาณซิลิกาจาก 0 เป็น 10 phr ค่าความต้านทานต่อแรงดึงมีค่าเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นความต้านทานต่อแรงดึงมีค่าลดลงเมื่อใช้ซิลิกามากกว่า 10 phr การใช้สารทนไฟ Antimony trioxide ที่ปริมาณ 30 phr ร่วมด้วยทำให้ความต้านทานต่อแรงดึงลดลงอย่างชัดเจน และความสามารถในการยืดจนขาดมีค่าลดลงตามปริมาณสารตัวเติมที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มปริมาณสารตัวเติมซิลิกาลงในยางฟองน้ำ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของสมบัติทั้งความต้านทานต่อแรงดึงมีค่าลดลง หรือยางสามารถทนต่อความร้อนได้มากขึ้น มอดุลัสของยางฟองน้ำมีค่าเพิ่มขึ้นตามปริมาณซิลิกาที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มปริมาณซิลิกาจาก 0 ถึง 10 phr ทำให้การผิดรูปถาวรจากการกดมีค่าสูงขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเมื่อปริมาณซิลิกาเพิ่มสูงขึ้นทำให้ยางฟองน้ำคืนตัวกลับสู่รูปร่างเดิมได้น้อยลง เมื่อเพิ่มปริมาณผงกากยางรถยนต์จาก 0 ถึง 30 phr ทั้งแบบใช้และไม่ใช้สารทนไฟ ส่งผลให้ความหนาแน่นของยางฟองน้ำมีค่าเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มปริมาณผงกากยางรถยนต์ร่วมกับการใช้ Antimony trioxide จะให้ความหนาแน่นสูงกว่าแบบไม่ใช้ การใช้ผงกากยางรถยนต์เท่ากับ 10 phr ให้การผิดรูปถาวรจากการกดต่ำสุด เมื่อผงกากยางรถยนต์เพิ่มสูงขึ้น การผิดรูปถาวรจากการกดของยางฟองน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบการใช้และไม่ใช้สารทนไฟ พบว่า การใช้สารทนไฟร่วมกับผงกากยางรถยนต์ทำให้ค่าการผิดรูปถาวรจากการกดมีค่าสูงขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากปริมาณของสารทนไฟที่สูงถึง 30 phr จะไปลดสมบัติความยืดหยุ่นของยางฟองน้ำลงทำให้ยางผิดรูปสูงขึ้น 4.1.2 สมบัติของยางฟองจากยางแห้ง 4.1.2.1 การใช้ซิลิกาเป็นสารตัวเติมต่อสมบัติของยางฟอง การเพิ่มปริมาณซิลิกาในยางส่งผลให้ค่าความหนืดมูนนี่เพิ่มสูงขึ้น และระยะเวลาที่ยางสามารถไหลได้มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย การเพิ่มปริมาณซิลิกาในยางผสมทั้งสองสัดส่วนการผสมให้ค่าทอร์กต่ำสุด (ML), ทอร์กสูงสุด (MH) และความแตกต่างของค่าทอร์ก (MH-ML) มีค่าเพิ่มขึ้น ส่วนระยะเวลาที่ยางสามารถแปรรูปได้ (Ts1) และเวลาวัลคาไนซ์ของยาง (T90) ที่สัดส่วนยางผสม LNR/CR เท่ากับ 70/30 เร็วกว่า 50/50 และเมื่อพิจารณาสมบัติเชิงกลพบว่าที่สัดส่วนยางผสม 70/30 ให้ค่าความต้านทานต่อแรงดึงสูงกว่าสัดส่วน 50/50 ส่วนการเพิ่มปริมาณซิลิกาในยางผสมที่ปริมาณ 20 phr ให้ค่าความต้านทานต่อแรงดึงสูงสุด การเพิ่มปริมาณซิลิกามากกว่า 20 phr มีแนวโน้มให้ค่าที่ลดลง และความสามารถในการยืดจนขาดของยางมีแนวโน้มลดลงเมื่อปริมาณซิลิกาเพิ่มขึ้นทั้งสองสัดส่วนยางผสม 4.1.2.2 การใช้ยางธรรมชาติความหนืดต่ำซิลิกามาสเตอร์แบทร่วมกับน้ำยางคลอโรพรีนต่อสมบัติของยางฟอง การเตรียมคอมปาวด์ยางผสมระหว่าง LNRmSi/CR การเพิ่มปริมาณซิลิกาในยางความหนืดต่ำซิลิกามาสเตอร์แบทซ์ส่งผลให้ค่าความหนืดมูนนี่เพิ่มสูงขึ้นทั้งที่ 70/30 และ 50/50 และยังส่งผลให้ระยะเวลาที่ยางสามารถไหลได้มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย การเพิ่มปริมาณซิลิกาในยางความหนืดต่ำซิลิกามาสเตอร์แบทซ์ ให้ค่าทอร์กต่ำสุด (ML) ไม่แตกต่างกันมาก ในขณะที่ค่าทอร์กสูงสุด (MH) และความแตกต่างของค่าทอร์ก (MH-ML) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อปริมาณซิลิกาเพิ่มขึ้น ส่วนระยะเวลาที่ยางสามารถแปรรูปได้ (Ts1) และเวลาวัลคาไนซ์ของยาง (T90) ของสูตรยางที่ใช้ใช้ปริมาณซิลิกาเท่ากัน ที่สัดส่วนยางผสม LNRmSi/CR เท่ากับ 70/30 ให้ค่า TS1 และ T90 เร็วกว่าที่สัดส่วน 50/50 สัดส่วนยางผสม 70/30 ให้ค่าความต้านทานต่อแรงดึง และความสามารถในการยืด ณ จุดขาดสูงกว่าสัดส่วน 50/50 เมื่อเปรียบเทียบที่ปริมาณการใช้ซิลิกาเท่ากัน และการเพิ่มปริมาณซิลิกาในสูตรยางพบว่าจะส่งผลให้สมบัติเชิงกลมีค่าเพิ่มสูงขึ้นทั้งสองสัดส่วน ความสามารถในการยืดจนขาดของยางมีแนวโน้มลดลงเมื่อปริมาณซิลิกาเพิ่มขึ้นทั้งสองสัดส่วนยางผสม สมบัติความต้านทานต่อการบ่มเร่ง ความต้านทานต่อแรงดึงของยางมีค่าเพิ่มขึ้นหลังการบ่มเร่งทั้งสองสัดส่วนยางผสม 4.1.2.3 การใช้สารตัวเติมร่วมระหว่างซิลิกาในมาสเตอร์แบทกับแคลเซียมคาร์บอเนตและผงกากยางรถยนต์ต่อสมบัติของยางฟอง การใช้สารตัวเติม Si/CRM จะให้สมบัติความหนืดมูนนี่สูงกว่าการใช้ Si/Ca/CRM และ Si/Ca ตามลำดับ ที่สัดส่วนการเบลนด์ที่ 70/30 จะให้เวลา Mooney scorch time ที่ยาวกว่าสัดส่วน 50/50 การใช้สารตัวเติมร่วมกันในยางผสมทุกสูตรการผสมให้ค่าทอร์กต่ำสุด (ML) ไม่แตกต่างกันมาก ในขณะที่ค่าทอร์กสูงสุด (MH) พบการใช้สารตัวเติมร่วมในปริมาณสูง 50 phr จะให้ค่าที่สูงกว่า 30 phr และความแตกต่างของค่าทอร์ก (MH-ML) มีแนวโน้มลดลงเมื่อปริมาณสารตัวเติมรวมเพิ่มขึ้น ในขณะที่สมบัติด้านการแปรรูปในส่วนของระยะเวลาที่ยางสามารถแปรรูปได้ (Ts1) และเวลาวัลคาไนซ์ของยาง (T90) ของสูตรยางที่ใช้ใช้ปริมาณสารตัวเติมร่วมไม่มีความแตกต่างกันมากในแต่ละสัดส่วนระหว่าง LNRmSi/CR แต่หากเปรียบเทียบกันระหว่างแต่ละสัดส่วนของ LNRmSi/CR ที่ 70/30 และ 50/50 พบว่าที่สัดส่วน 50/50 จะให้เวลาที่ยางสามารถแปรรูปได้ที่ยาวกว่าผลการทดสอบสมบัติการวัลคาไนซ์ที่สัดส่วนยางผสม 70/30 ให้ค่าความต้านทานต่อแรงดึง และความสามารถในการยืด ณ จุดขาดสูงกว่าสัดส่วน 50/50 เมื่อเปรียบเทียบที่ปริมาณการใช้สารตัวเติมเท่ากัน และการใช้ Si/Ca จะให้ความต้านทานต่อแรงดึง และความสามารถในการยืด ณ จุดขาด ที่ดีที่สุด |
เอกสาร Final Paper(s) |
|
ทีมวิจัย

หัวหน้าโครงการ
ที่ | นักวิจัย | หน่วยงาน | ตำแหน่งในทีม | การมีส่วนร่วม (%) |
---|---|---|---|---|
1 | ผศ. จุฑาทิพย์ อาจชมภู | คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช | หัวหน้าโครงการ | 50 |
2 | สุวัฒน์ รัตนพันธ์ | คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช | ผู้ร่วมวิจัย | 40 |
3 | อนุชิต วิเชียรชม | คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช | ผู้ร่วมวิจัย | 10 |