โครงการวิจัย
ศึกษาวิถีข้าวที่ส่งผลต่อวิถีไทยภาคใต้
A Study of way of rice: thainess
รายละเอียดโครงการ
ปีงบประมาณ | 2560 |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ | |
ลักษณะโครงการ | โครงการใหม่ |
ประเภทโครงการ | โครงการเดี่ยว |
ประเภทงานวิจัย | |
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2559 |
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2560 |
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2559 |
ประเภททุนวิจัย | งบประมาณแผ่นดิน |
สถานะโครงการ | สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว) |
เลขที่สัญญา | |
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา | ไม่ใช่ |
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม | ไม่ใช่ |
บทคัดย่อโครงการ | งานวิจัยเรื่องศึกษาวิถีข้าวที่ส่งผลต่อวิถีไทยภาคใต้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิธีการทำนาและภูมิปัญญาของชาวนาภาคใต้ 2) ศึกษาผลกระทบของวิถีทำนาต่อวิถีชีวิตของชาวนาภาคใต้ โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับเกษตรกรที่ทำนาข้าว ผู้นำชุมชน ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ใน 3 จังหวัดที่มีพื้นที่ทำนามากที่สุดในภาคใต้ คือ นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา จำนวน 120 คน การสนทนากลุ่มย่อยกับเกษตรกรชาวนากลุ่มละ 5-7 คน และการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เป้นเครื่องมือรวบรวมข้อมูลภาคสนามร่วมกับการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากนั้นนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนรายงานผลการวิจัยโดยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. การทำนาของชาวนาภาคใต้จะทำทั้งนาหว่านและนาดำ พันธุ์ข้าพื้นเมืองที่ปลูกในภาคใต้ ได้แก่ข้าวสังข์หยด เป็นข้าวมีรสชาติดี มีคุณค่าทางโภชนาการสูง นอกจากนี้มี ข้าวเล็บนก ข้าวไข่มด ข้าวดอกพะยอม โดย เกษตรกรที่มีพื้นที่ทำนามากและไม่มีแหล่งน้ำหรือชลประทานนำยมทำนาดำ แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของฝนฟ้าฤดูกาลด้วย ถ้าฝนตกล่าช้าชาวนาจะทำนาดำมากกว่าทำนาหว่าน จะเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาลเมื่อฝนตกดินชุ่มน้ำพอจะไถได้ก็จะเริ่มไถทันทีโดยทำการไถดะ ไถแปร แล้วจึงหว่านเมล็ดพันธ์ุข้าว ประมาณ 7-10 วัน เมล็ดข้าวก็จะเริ่มงอกเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าฝนตกมากเกินไปจนน้ำท่วมเช่เมล็ดข้าวนานเกินไป เมล็ดข้าวจะเสีย เรียกว่า ข้าวโผะ ต้องทำการหว่านใหม่ การทำนาดำในภาคใต้แบ่งออกได้เป็น 2 เขต คือ เขตพื้นที่ราบชายฝั่งทะเลตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่สำหรับทำนา ซึ่งในเขตนี้ต้องอาศัยน้ำฝน ส่วนที่ 2 คือ เขตพื้นที่ราบตามแนวเทือกเขาและหุบเขาของคาบสมุทรไทย ตั้งแต่จังหวัดชุมพรไปจรดเขตแดนประเทศมาเลเซีย การทำนาในเขตนี้ส่วนใหญ่มักทำนาดำซึ่งอาศัยน้ำลำธารที่ไหลมาจากเทือกเขาโดยชาวบ้านจะทำเหมืองฝาย ทำนบผันน้ำเข้านา มีการเตรียมแปลงต้นกล้าและเตรียมแปลงสำหรับปักดำ 2. ภาคใต้มีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 1 ล้านไร่ โดยเฉพาะในจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา แต่ตอนหลัง ๆ พื้นที่ปลูกข้าวเริ่มลดลง เนื่องจากมีเกษตรกรจำนวนหนึ่งนำนาข้าวไปเป็นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน และยางพารา และยังมีพื้นที่นาร้างอีกจำนวนหนึ่ง 20-30% ซึ่งปัจจุบันทั้งยางพาราและปาล์มน้ำมันราคาไม่ค่อยดี และต้นทุนสูง เกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบกับปัญหาขาดทุน หรือคนที่ปล่อยให้พื้นที่นาร้าง ก็ควรพิจารณาและหันกลับมาฟื้นนาข้าวใหม่ ตอนนี้มีชาวนาในพัทลุงและสงขลาหลานรายที่มีรายได้จากการทำนาข้าวค่อนข้างดี บางรายมีรายได้ประมาณ 100,000 บาท/ปี นอกจากนี้อยากให้มีนโยบายเฉพาะกิจสนับสนุนโครงการพีเอ็นสต๊อกข้าวกับโรงสี หรือการเก็บเปลือกไว้ในโรงสีเป้นหลักประกันกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) โดยให้สมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ร่วมกับภาครัฐในการรับซื้อข้าวเปลือกและประกันราคาข้าวซึ่งจะช่วยให้โรงสีข้าวในภาคใต้สามารถรับซื้อข้าวจากเกษตรกรได้ทั้งหมดไม่ต้องจำหน่วยไปยังส่วนกลาง ที่แต่ละปีส่งไปประมาณ 20% ซึ่งทำให้ข้าวราคาตกต่ำ เพราะต้องหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าขนส่ง เป็นต้น การเปลี่ยนพื้นที่นามาใช้ปลูกพืชพาณิชย์ชนิดอื่นก็คือความพยายามดิ้นรนของผู้คนที่ยังคงต้องการรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำจากภาคเกษตร สิ่งที่เกิดขึ้นกับการทำนาและชาวนาทุกวันนี้ดูจะห่างไกลจากภาพในเชิงอุดมคติที่พึงปรารถนาในมุมมองของประชาสังคม และหน่วยงานรัฐที่เน้นระบบการผลิตแบบพึ่งตนเอง ยกเว้นชาวนาส่วนน้อยที่ทำนา |
รายละเอียดการนำไปใช้งาน | |
เอกสาร Final Paper(s) |
|
ทีมวิจัย
ที่ | นักวิจัย | หน่วยงาน | ตำแหน่งในทีม | การมีส่วนร่วม (%) |
---|---|---|---|---|
1 | อัมรินทร์ สันตินิยมภักดี | วิทยาลัยรัตภูมิ ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | หัวหน้าโครงการ | 60 |
2 | สุพัตรา เพ็งเกลี้ยง | วิทยาลัยรัตภูมิ ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 20 |
3 | สมชาย ตุละ | วิทยาลัยรัตภูมิ ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 20 |