การกำจัดสีย้อมโดยใช้สารสกัดหยาบจากใบรางจืดและการประยุกต์ใช้บำบัดสีในน้ำเสียจากโรงงานน้ำมันปาล์ม

Dye decolorization using Crude Extract from Thunbergia laurifolia Linn. Leaves and its application on palm oil mill effluent decolorization

รายละเอียดโครงการ

ปีงบประมาณ 2561
หน่วยงานเจ้าของโครงการ
ลักษณะโครงการ โครงการใหม่
ประเภทโครงการ โครงการเดี่ยว
ประเภทงานวิจัย
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) 1 มกราคม 2560
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) 1 มกราคม 2561
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) 1 มกราคม 2560
ประเภททุนวิจัย งบประมาณรายได้
สถานะโครงการ สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว)
เลขที่สัญญา
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา ไม่ใช่
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม ไม่ใช่
บทคัดย่อโครงการ สีเป็นมลพิษอย่างหนึ่ง ทั้งสีสังเคราะห์ และสีธรรมชาติ เมื่อปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมจะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ เช่น ลดการสังเคราะห์แสง และมีผลต่อปริมาณการละลายของออกซิเจนในน้ำ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถของสารสกัดหยาบจากใบรางจืดในการสลายสีย้อม และสีจากน้ำทิ้งโรงงานน้ำมันปาล์ม โดยวิเคราะห์เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายสีย้อมในสารสกัดหยาบใบรางจืด 3 ระยะ คือ ใบอ่อน ใบกลาง และใบแก่ คือ เอนไซม์เปอร์ออกซิเดส โดยใช้สับสเตรทเป็น guaiacol syringaldazine และ pyrrogallol ร่วมกับ H2O2 พบว่าในใบระยะกลางมีกิจกรรมของเอนไซม์เปอร์ออกซิเดสสูงที่สุดโดยสับเสตรทดังกล่าวเท่ากับ 0.040±0.001 1.97±0.003 และ 0.039±0.0006 U/ g fresh weight ตามลำดับ และกิจกรรมเอนไซม์โพลีฟีนอลออกซิเดสพบมากสุดในระยะใบกลางเช่นกัน โดยใช้สับเสตรทเป็น pyrocatechol มีกิจกรรมเท่ากับ 9,991.68±135.00 U/ g fresh weight เมื่อนำสารสกัดหยาบรางจืดผลิตเม็ดบีทสลายสีย้อมโดยการตรึงสารสกัดหยาบใบรางจืดด้วยแคลเซียมอัลจิเนต พบว่าการใช้เม็ดบีทเพียงอย่างเดียวไม่ร่วมกับ H2O2 สามารถสลายสีย้อมได้ โดยสามารถสลายสีย้อม methylene blue ได้ดีที่สุด ในเวลา 45 นาที โดยเม็ดบีทขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.03 ± 0.06 มิลลิเมตร ซึ่งมีกิจกรรมของเอนไซม์โพลีฟีนอลออกซิเดสในเม็ดบีทมากที่สุด และสลายสีย้อมได้ร้อยละ 91.07 ±2.39 เมื่อนำเม็ดบีทไปบ่มใน pH ต่าง ๆ (3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 และ 10) พบว่าเม็ดบีทมีการพองตัวในทุกค่า pH โดยค่า pH ที่มีการพองตัวของเม็ดบีทมากที่สุด คือ pH 9 โดยพองตัวมีขนาดเม็ดบีทใหญ่ขึ้น 1.9 เท่า เมื่อเทียบกับชุดควบคุมที่ไม่บ่มใน pH ใด ๆ กิจกรรมของเอนไซม์โพลีฟีนอลออกซิเดสเมื่อบ่มใน pH ต่าง ๆ พบว่ากิจกรรมของเอนไซม์ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อบ่มที่ pH 3 และ 4 และกิจกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อบ่มใน pH 7-10 เมื่อเทียบกับชุดควบคุม เมื่อศึกษาความสามารถในการสลายสีย้อม พบว่า ความสามารถในการสลายสีย้อมของเจลมีค่าใกล้เคียงกันแม้ผ่านการบ่มด้วย pH ที่แตกต่างกัน เมื่อศึกษาผลของอุณหภูมิต่อเม็ดบีท โดยการนำเม็ดบีทบ่มที่อุณหภูมิต่าง ๆ (40, 50, 60, 70, 80, 90 และ 100 องศาเซลเซียส)พบว่าโครงสร้างของเม็ดบีทที่สังเกตด้วยตาเปล่าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อศึกษากิจกรรมของเอนไซม์พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่ากิจกรรมลดลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังมีความสามรถในการสลายสีย้อม methylene blue โดยเม็ดบีทที่บ่มที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสมีร้อยละการสลายสีย้อมเท่ากับ 79.08 เมื่อนำเม็ดบีทรางจืดมาสลายสีย้อมซ้ำ พบว่า สามารถสลายสีย้อม methylene blue ซ้ำได้ถึง 20 รอบ โดยรอบที่ 20 มีร้อยละการสลายสีย้อมเท่ากับ 59 เมื่อทดสอบการสลายสีจากน้ำเสียโรงงานน้ำมันปาล์มของเม็ดบีทรางจืดพบว่าเม็ดบีทรางจืดไม่สามารถาลายสีในน้ำเสียโรงงานน้ำมันปาล์มได้ ผลการศึกษาในครั้งนี้เม็ดบีทรางจืดสามารถประยุกต์ใช้ในการสลายสีย้อมได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รายละเอียดการนำไปใช้งาน
เอกสาร Final Paper(s)
  • -

ทีมวิจัย

ที่ นักวิจัย หน่วยงาน ตำแหน่งในทีม การมีส่วนร่วม (%)
1ดร. ฐิติกร พรหมบรรจงคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราชหัวหน้าโครงการ60
2ผศ. สุวรรณา ผลใหม่คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราชผู้ร่วมวิจัย20
3ผศ.ดร. ธนากรณ์ ดำสุดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราชผู้ร่วมวิจัย20