โครงการวิจัย
การผลิตส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามภายใต้ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในเขตลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
The Pummelo cv. Tuptimsiam Production under the Climate Variation in Pakpanang Basin, Nakhon Sri Thammarat Province
รายละเอียดโครงการ
| ปีงบประมาณ | 2561 |
| หน่วยงานเจ้าของโครงการ | |
| ลักษณะโครงการ | โครงการใหม่ |
| ประเภทโครงการ | โครงการชุด |
| ประเภทงานวิจัย | |
| วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2559 |
| วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2561 |
| วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) | 1 มกราคม 2559 |
| ประเภททุนวิจัย | งบประมาณแผ่นดิน |
| สถานะโครงการ | สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว) |
| เลขที่สัญญา | |
| เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา | ไม่ใช่ |
| เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม | ไม่ใช่ |
| บทคัดย่อโครงการ | ชุดโครงการวิจัยนี้ ประกอบด้วยโครงการวิจัยย่อย 5 โครงการ วัตถุประสงค์ของชุดโครงการ เพื่อศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ในการผลิตส้มโอพันธุ์ทับทิมยาม ปรากฏผลการวิจัย ดังนี้ ผลกระทบความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศต่อการเจริญเติบโต การออกดอก และติดผลของส้มโอทับทิมสยาม ช่วงของการออกดอก ต้นปี (มกราคม-เมษายน) กลางปี (พฤษภาคม-สิงหาคม) และ ปลายปี (กันยายน-ธันวาคม) พบว่า เปอร์เซ็นต์การแตกชุดใบ เปอร์เซ็นต์ออกดอก เปอร์เซ็นต์ติดผล ของต้นส้มโอทับทิมสยามที่ออกดอกในช่วงต้นปี จะมีลักษณะต่างๆ เหล่านี้สูงที่สุด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองปี และพบว่าน้ำหนักผลในปี 2560 ของต้นส้มโอทับทิมสยามที่ออกดอกในช่วงต้นปี มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 1.90 กิโลกรัม และในปี 2561 ต้นปีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 1.95 กิโลกรัม ความหวาน ในปี 2560 ของต้นส้มโอทับทิมสยามที่ออกดอกในช่วงกลางปีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 10.56 องศาบริกซ์ และ ปี 2561 กลางปีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 11.20 องศาบริกซ์ ขนาดผล ในปี 2560 ของต้นส้มโอทับทิมสยามที่ออกดอกในช่วงต้นปี มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 55.02 เซนติเมตร และในปี 2561 ต้นปีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 56.70 เซนติเมตร การเจริญเติบโตและการพัฒนาของผลส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวภายใต้สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ผลของการเจริญเติบโตและการพัฒนาของผลส้มโอในช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวแบ่งเป็น ต้นปี กลางปี และปลายปี มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ช่วงเวลาของเก็บเกี่ยวต้นปีและกลางปีสามารถพัฒนาได้ตามน้ำหนักผล (กรัม) น้ำหนักเปลือก (กรัม) น้ำหนักเนื้อ (กรัม) เส้นผ่าศูนย์กลางของผลไม้ (ซม.) และเส้นรอบวง (ซม.) ได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาสิ้นปี นอกจากนี้คุณภาพของผลในช่วงต้นปีและกลางปีมีค่าของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TSS) ที่สูงที่สุดปริมาณกรดที่ไตเตรทได้ (TA) และอัตราส่วน TSS / TA ผลของต้นไม้อายุ 10 และ 15 ปีสามารถพัฒนาได้ตามน้ำหนักผล (กรัม) น้ำหนักเปลือก (กรัม) น้ำหนักเนื้อ (กรัม) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับต้นไม้อายุ 5 ปี แต่ เส้นผ่านศูนย์กลางของผล (ซม.) เส้นรอบวง (ซม.) และความหนาของเปลือกไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง คุณภาพของผลของต้นส้มโออายุ 10 และ 15 ปีมีค่าของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TSS), ปริมาณกรดที่ไตเตรทได้ (TA) มากกว่าต้นส้มโออายุ 5 ปี อายุส้มโอที่ 6.5, 7 และ 7.5 สามารถพัฒนาน้ำหนักผล (กรัม) น้ำหนักเปลือก (กรัม) น้ำหนักเนื้อ (กรัม) เส้นผ่าศูนย์กลางของผลไม้ (ซม.) และเส้นรอบวง (ซม.) และสูงสุดของ คุณภาพผลไม้ตามที่ระบุในอัตราส่วน TSS, TA โรคที่สำคัญในการผลิตส้มโอทับทิมสยามที่พบในการศึกษานี้คือ โรครากเน่าโคนเน่าซึ่งเกิดจากเชื้อ Phytophthora parasitica โรคแคงเกอร์ เกิดจากเชื้อ Xanthomonas axonopodis pv. citri โรคกรีนนิ่ง หรือ Huanglongbing เกิดจากเชื้อ Candidatus Liberibacter asiaticus (CLA) โรคทริสเตซ่าเกิดจากเชื้อ citrus tristeza virus (CTV). การศึกษาระดับความรุนแรงโรคกับระยะเจริญพบว่าไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ (r = 0.35, P = 0.63) เมื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีของเพียร์สันเพื่อหาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆกับความรุแรงของโรค พบว่ามีเพียงปริมาณน้ำฝนที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคเท่ากับ 0.78 (P 0.05) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โรคสำคัญส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลผลิตส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามและคุณภาพของผลส้มโอทับทิมสยาม คือโรคแคงเกอร์ จากการศึกษาความรุนแรงของโรคที่ใบพบว่าความรุนแรงของโรคอายุ 3-5 ปี และ 6-8 ปี แตกต่างกัน มีระดับความรุนแรงที่ใบ 13.22 และ 16.63 % ตามลำดับ ส่วนที่ผลพบว่าความรุนแรงของโรคอายุ 3-5 ปี และ 6-8 ปี ไม่แตกต่างกัน มีระดับความรุนแรง 18.92 และ 19.27 % ตามลำดับ สำหรับอาการที่ผลพบได้สูงถึง78.58 และ 86.29 % ตามลำดับ โดยไม่แตกต่างกันทางสถิติที่ต้นส้มอายุต่างกัน อาการแคงเกอร์ที่ผลทำให้ไม่สามารถส่งออกได้ ขายภายในตลาดท้องถิ่นราคาลดลงจาก 250 บาทต่อผล เหลือเพียง 60-80 บาทต่อผล การศึกษาประชากรไร เพลี้ยไฟ และประสิทธิภาพของกรรมวิธีในการควบคุมแมลงในสวนส้มโอทับทิมสยาม พบไรศัตรูสำคัญของส้มโอ 3 ชนิด คือไรขาว Polyphagotarsonemus latus (Banks) ไรสนิมส้ม Phyllocoptruta oleivora (Ashmead) ไรแดง Eutetranychus africanus (Tucker) และพบเพลี้ยไฟชนิดที่สำคัญ 2 ชนิด คือ Scirtothrips dorsalis (Hood) และ Thrips hawaiiensis ประชากรไรและเปอร์เซ็นต์ความเสียหายของส้มโอที่เกิดจากการทำลายของไร พบว่า ในปี 2560 พบไรจำนวนมากในระยะพัฒนาใบอ่อนและผลอ่อนของส้มโอ ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในเดือนเมษายน โดยมีค่าเฉลี่ยประชากร 1.29 ตัวต่อใบ และค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ความเสียหายของใบ 7.21 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2561 พบค่าเฉลี่ยประชากรไรสูง 1.37 ตัวต่อใบ เปอร์เซ็นต์ความเสียหายของใบพบมากที่สุดในเดือนเมษายน (ระยะใบอ่อนและผลอ่อน) เช่นกัน โดยมีค่าเฉลี่ยความเสียหาย 3.81 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาความสัมพันธ์ของประชากรไรแดง ไรขาว และไรสนิมส้ม กับปัจจัยสภาพอากาศ ด้านอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นสัมพัทธ์ และความเร็วลม พบว่า 1) ประชากรของไรแดงกับความเร็วลมและอุณหภูมิมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r=0.52, p=0.45) และระดับต่ำมาก (r=0.26, p=0.45) ตามลำดับ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก (r=-0.15, p=0.67) 2) ความสัมพันธ์ของประชากรไรขาวกับปัจจัยสภาพอากาศ พบว่า อุณหภูมิมีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r=0.82, p=0.00** มี ค่า p-value ของอุณหภูมิจะมีความสัมพันธ์กันทางสถิติ) และความเร็วลมอยู่ในระดับต่ำ (r=0.47, p=0.16) ในทิศทางเดียวกัน ด้านปริมาณน้ำฝนและความชื้นสัมพัทธ์ มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก (r=-0.28, p=0.43) และ (r=-0.10, p=0.76) ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ของประชากรไรสนิมส้มกับปัจจัยสภาพอากาศ พบว่า ด้านอุณหภูมิและความเร็วลมมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน อุณหภูมิ และความเร็วลม มีความสัมพันธ์กับประชากรไรสนิมในระดับต่ำมาก (r=0.13, p=0.70) (-r=0.11, p=0.74) ตามลำดับ ปริมาณน้ำฝน และความชื้นสัมพัทธ์ มีความสัมพันธ์กับประชากรไรสนิมส้มในทิศทางตรงกันข้าม มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก (r=-0.11, p=0.74) และต่ำ (r=-0.42, p=0.21) การศึกษาความสัมพันธ์ของประชากรเพลี้ยไฟกับปัจจัยสภาพอากาศ ด้านอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความชื้นสัมพัทธ์ และความเร็วลม พบว่า อุณหภูมิและความเร็วลมมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน อุณหภูมิและความเร็วลมมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก (r=0.02, p=0.93) และ (r=0.22, p=0.53) ตามลำดับ ด้านปริมาณน้ำฝนและความชื้นสัมพัทธ์มีความสัมพันธ์กับประชากรเพลี้ยไฟในทิศทางตรงกันข้าม ความชื้นสัมพัทธ์มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r=-0.66, p=0.03) ปริมาณน้ำฝนความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก (r-0.16, p=0.65) และค่า p-value ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ (p>0.05) ชนิดและปริมาณศัตรูธรรมชาติที่พบในสวนส้มโอทับทิมสยาม ก่อนและหลังฉีดพ่นสาร พบศัตรูธรรมชาติทั้งหมด 5 ชนิด โดยจัดเป็นแมลงในอันดับ Coleoptera มีจำนวน 2 ชนิด คือ ด้วงเต่าลาย (Coccinella septempunctata) และด้วงเต่าตัวห้ำ (Stethorus spp.) มีปริมาณเฉลี่ย 0.32 0.41 ตัวต่อต้น ตามลำดับ อันดับ Odonata มีจำนวน 1 ชนิด คือ แมลงปอบ้าน (Libellulidae) มีปริมาณเฉลี่ย 1.04 ตัวต่อต้น และแมงมุมจำนวน 2 ชนิด คือ แมงมุมใยกลม วงศ์ Araneidae และแมงมุมตาหกเหลี่ยม วงศ์ Oxyopidae มีปริมาณเฉลี่ย 0.02 0.43 ตัวต่อต้น ตามลำดับ ประสิทธิภาพของกรรมวิธีในการควบคุมจำนวนไรหลังการฉีดพ่นสารครั้งสุดท้าย (ฉีดพ่นทุก7 วัน จำนวน 3 ครั้ง) ระยะใบ พบว่า กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ได้แก่ อมีทราช อะบาเม็คติน สารเฟนไพโรซิเมท ไพริดาเบน โพรพาร์ไกต์ และปิโตรเลียมออยล์ มีประสิทธิภาพของกรรมวิธี 99.34 96.90 94.58 94.18 92.86 88.74 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ประสิทธิภาพของกรรมวิธีต่อความเสียหายที่เกิดจากการทำลายของไรก่อนและหลังการฉีดพ่นสารครั้งสุดท้าย ในระยะใบ กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ได้แก่ อมีทราช ไพริดาเบน อะบาเม็คติน โพรพาร์ไกต์ ปิโตรเลียมออยล์ สารเฟนไพโรซิเมท มีประสิทธิภาพของกรรมวิธี 97.08 93.66 89.64 88.89 88.46 และ 88.31 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในระยะผล ประสิทธิภาพของกรรมวิธีในการป้องกันความเสียหายจากไร พบว่า การใช้ อมีทราช มีประสิทธิภาพดีที่สุด 97.11 เปอร์เซ็นต์ ประสิทธิภาพของกรรมวิธีที่มีต่อจำนวนเพลี้ยไฟก่อนและหลังการฉีดพ่นสารครั้งสุดท้าย ทดสอบในระยะใบ พบว่า กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ได้แก่ อะบาเมคติน อิมิดาโคลปิด ปิโตรเลียมออยล์ผสมสารสกัดเมล็ดสะเดาไทย ปิโตรเลียมออยล์ผสมยาสูบ สารสกัดจากเมล็ดสะเดาไทย ปิโตรเลียมออยล์ ยาสูบ และการฉีดพ่นด้วยน้ำ ซึ่งมีประสิทธิภาพคิดเป็น 98.67 95.54 89.53 88.14 86.14 84.56 77.19 และ 76.69 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทดสอบในระยะผล พบว่า กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ได้แก่ อิมิดาโคลปิด และอะบาเม็คติน ซึ่งมีประสิทธิภาพคิดเป็น 100 และ 93.55 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ประสิทธิภาพของกรรมวิธีที่มีต่อเปอร์เซ็นต์ความเสียหายที่เกิดจากการทำลายของเพลี้ยไฟก่อนและหลังการฉีดพ่นสารครั้งสุดท้าย ในระยะใบ กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ได้แก่ อะบาเมคติน และ อิมิดาโคลปิด มีประสิทธิภาพ 96.12 และ 87.77 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในระยะผล กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ได้แก่ อิมิดาโคลปิด และ อะบาเมคติน มีประสิทธิภาพ 97.98 และ 87.79 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ การผลิตโคลนต้นส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามที่ปลอดโรค เริ่มจากการนำเนื้อเยื่อเจริญส่วนยอดเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS เติม BA (6-Benzyaladenine) เข้มข้น 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้จำนวนยอดเฉลี่ยสูงที่สุด คือ 4.8 ยอดต่อชิ้นส่วน และอาหารสูตร MS เติม NAA (1-naphthylacetic acid) เข้มข้น 1 มิลลิกรัมต่อลิตรร่วมกับ BA เข้มข้น 2 มิลิกรัมต่อลิตร สามารถสร้างแคลลัสได้ 100 เปอร์เซ็นต์ การเสียบยอดส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามบนต้นตอส้มโชกุนสามารถเข้ากันได้มากที่สุดและสร้างยอดได้สูงสุด 4.5 ยอดต่อชิ้นส่วน ศึกษาผลชนิดของอาหารที่เหมาะสมต่อการเพิ่มปริมาณยอดรวมของส้มโอทับทิมสยาม พบว่า อาหารแข็งสูตร MS เติม BA เข้มข้น 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร การวางเลี้ยงบนอาหารแข็งสามารถชักนำยอดได้สูงสุด 12.5 ยอดต่อชิ้นส่วน การชักนำรากของต้นส้มโอทับทิมสยามในหลอดทดลอง พบว่า อาหารสูตร MS เติม NAA เข้มข้น 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร วางเลี้ยงในสภาพที่ไม่เติมผงถ่านให้จำนวนรากสูงสุด 5.78 รากต่อชิ้นส่วน และให้ความยาวรากสูงสุด 4.07 เซนติเมตร การอนุบาลต้นส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ล้างและจุ่มแช่ยากันราและปลูกในกระถางที่มีทรายผสมขี้เถาแกลบในอัตราส่วน 1:1ใช้ถุงพลาสติกคลุมกระถาง นำไปวางอนุบาลในเรือนเพาะชำที่มีแสงแดดประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลา 1 เดือน ให้การรอดชีวิต 80 เปอร์เซ็นต์ การตรวจสอบต้นส้มโอทับทิมสยามที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญส่วยยอดและการเสียบยอดในหลอดทดลองด้วยเทคนิค PCR/ELISA พบว่า ไพรเมอร์ที่นำมาศึกษาไม่พบการเกิดโรคบนส้มโอทับทิมสยามบนต้นตอทุกชนิด คำสำคัญ: ส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม, จังหวัดนครศรีธรรมราช, สภาพภูมิอากาศ The Pummelo cv. Tuptimsiam Production under the Climate Variation In Pakpanang Basin, Nakhon Sri Thammarat Province Abstract This research project includes 5 sub-projects for which the overall aims were to study and compile the knowledge on the production of pummelo cv. Tuptimsiam. Findings were as follows: This research aims to find the effects of climate variation on the growth, flowering and fruit set of pomelo cv. Tuptimsiam. The beginning of the year (Jan-Apr), the middle of the year (May-Aug) and the end of the year (Sep-Dec). It was found that the percentage of leaf flushing, flowering, and fruit set has the highest record during the period of beginning of the year, then, middle of the year and end of the year, respectively. The fruit weight in 2017 has the highest record at 1.90 kg during the period of beginning of the year. For the year 2018, the highest record is at 1.95 kg during the period of beginning of the year. The percentage of TSS in 2017 has the highest record at 10.56 oBrix during the middle of the year. In the year 2018, the highest record is 11.28 oBrix during the middle of the year. The fruit size in 2017 has the highest record at 55.02 cm during the period of beginning of the year. In the year 2018, the highest record is 56.70 cm during the period of beginning of the year. The Fruit Growth and Development of Pummelo cv. Tubtim Siam at the Optimal Time for Harvesting Under the Climate Variation. The effect of the harvesting time around the year divided to beginning of the year, mid-year and end of the year was advanced significant difference of the harvesting time, beginning of the year and mid-year could develop as indicated fruit weight (g), peel weight (g), pummelo fresh (g), diameter of fruit (cm) and fruit circumference (cm) compared to the during the time end of year. Also the fruit quality of the beginning of the year and mid-year, the most higher total soluble solid (TSS), titratable acidity (TA) and TSS/TA ratio. The effect of tree age 10 and 15-year-old trees could develop as indicated fruit weight(g), peel weight (g), pummelo fresh(g) was advanced significant difference compared to the 5-year-old trees, but the diameter of fruit (cm), fruit circumference (cm) and peel thickness was not significant difference of all treatments. The fruit quality of tree age 10 and 15-year-old trees most higher total soluble solid (TSS), titratable acidity (TA) and TSS/TA ratio than 5-year-old trees. The fruit age at 6.5th , 7th and 7.5th month could develop the highest of fruit weight(g), peel weight (g), pummelo fresh(g), diameter of fruit (cm) and fruit circumference (cm) and highest of fruit quality as indicated of TSS, TA and TSS/TA ratio. The serious damage diseases of pummelo (Citrus maxima (Burm.) cultivar Tabtim Siam in this study were root and foot rot caused by Phytophthora parasitica, canker disease cause by Xanthomonas axonopodis pv.citri, citrus greening (Huanglongbing) caused by Candidatus Liberibacter species and tristeza caused by citrus tristeza virus. Study correlation between disease severity and growth stage, the result showed that it was not significant correlation (r = 0.35) (P = 0.63). When calculated correlation between growing factors and disease severity, we found that only correlation between rainfall with disease severity was significantly with r=0.78 (p=.05). This research was convince that canker disease one the most severity damage to pummelo cultivar Tabtim Siam. The estimation severity and yield effecting from this disease by monitoring this disease on leaves and the mature fruits. The disease severity on leaves monitoring at orchard at 3-5 and 6-8-year age trees were significant different of 13.22 and 16.63 %but on fruits were not different of 18.92 and19.27 % respectively. While most of fruits appeared of canker symptom with incidence of both age trees were 78.58 and 86.29 % respectively. They were not significantly different between 3-5 and 6-8-year age trees. The canker appearance reduced the domestic market price from 250 Thai Baht to 50-60 Thai Baht/fruit in local market and they were not marketable quality except for exporting. Study on the population of mite, thrips and the effectiveness of method for controlling in Pummelo cv. Taptimsiam were examination. The three dominant species of mites- Polyphagotarsonemus latus (Banks), Phyllocoptruta oleivora (Ashmead), Eutetranychus africanus (Tucker) and one dominant species of the thrips -Scirtothrips dorsalis (Hood) and Thrips hawaiiensis were found. The population and the damage percentage of pomelo from mites and thrips infestation were found that, in 2017, the maximum abundance of mites and their damage were peaked at the young leaf and young fruit stage in April with the population average 1.29 mites/leaf and the average percentage damage 7.21%. In 2018, the maximum of mites abundance and their damage in were peaked in April (young leaf and young fruit stage), with population average 1.37 mites/ leaf and the average percentage damage 3.81%. The correlation coefficient of relationship (r) between the mites population and the weather factor such as temperature, rainfall, relative humidity and the wind speed were found that, 1) the relationships between Polyphagotarsonemus latus (Banks) population and wind speed and temperature was moderate correlation (r=0.52, p=0.45) and showed very low relationship (r=0.26, P=0.045), respectively 2) The relationships between P. oleivora (Ashmead) population and weather factor were found temperature has showed high level relationship (r=0.82, p=0.00** p -value of temperature, statistically relationship and the wind speed showed low relationship (r=0.47, p=0.16) in the same direction. The rainfall and relative humidity showed opposite direction very low relationship (r=-0.28, p>0.05). 3)The relationships between E. africanus (Tucker) population and weather factor showed that, temperature and wind speed relationship in the same direction relationship and very low relationship (r=-0.13, p=0.70) (r=0.11, p=0.74), respectively, rainfall and relative humidity relationship with E. africanus (Tucker) in the opposite direction, there is showed very low relationship (r=-0.11, p=0.74) and low relationship (r=-0.42, p=0.21), respectively For the correlation coefficient of relationship (r) between the thrips population and the weather factor were found that the temperature and wind speed were in the same direction, there is showed very low relationship (r=0.02, p=0.93) and (r=0.22, p=053) respectively. The rainfall and relative humidity on the relationship thrips population in the opposite direction relative humidity is showed moderate level relationship (r=-0.66, p=0.03) rainfall is showed very low relationship (r=-0.16, p=0.65) and p-value were no significant (p>0.05). The species and quantity of natural enemies that found in Pummelo cv. Taptimsiam orchard were 5 species, the 2 species were in order coleoptera, ladybird beetles,Coccinella septempunctata and Stethorus spp. with average 0.32 and 0.41 insects /tree, respectively. Order odonata -1 species was common skimmers (F. Libellulidae) average 1.04 insects/tree and the 2 species of spider were orbweb spider (order araneidae) and Lynx spider (order oxyopidae) average 0.20, 0.43 spiders/tree, respectively. The effectiveness treatment for controlling the number of mites, on leaves stage that sprayed every 7 days 3 times, after the last spray the result was found that the highest effectiveness treatment was amitraz (99.34%) followed by piridaben, abamectin, propargite, petroleum oil, fenpyroximate, Thai neem extract, microbial activator super LDD 7 and water spraying, with 96.90, 94.58, 94.18, 92.86 ,88.74, respectively. on young fruit stage found that the highest effectiveness treatment were amitraz (97.11%) The effectiveness treatment for controlling the number of thrips, leaves stage after the last spray the result was found that the highest effectiveness treatment were abamectin10% SL (98.67%) followed by imidacloprid 10%, petroleum oil 83.9% EC +Thai neem extract (aza. 0.5%), petroleum oil 83.9% EC + tobacco (3%), Thai neem extract (aza. 0.5%) , petroleum oil 83.9%EC, tobacco (3%) and water spraying, with 95.54 89.53 88.14 86.14 84.56 77.19 and 76.69 % , respectively and on young fruit stage). found that the highest effectiveness treatment were imidaclopid 10% SL (100%) The effectiveness treatment for control thrips damage, study on 2 experiments, on leaves stage, after the last spray the result was found that the highest effectiveness treatment were abamectin10% SL (96.12%) and on young fruit stage found that the highest effectiveness treatment were imidaclopid 10% SL (97.98%) The clonal propagation of disease-free began from shoot tip wer culture on Ms medium supplemented with NAA (1-naphthylacetic acid) 1 mg/L and BA concentration of 2 mg per liter gave the highest callus induction at 100 percent. When Taptimsiam scion with Shogun stock can contract and gave the highest shoot formation at 4.5 of shoots/explant. Effect of type of culture medium on shoot proliferation found that solid-MS medium supplemented with BA at concentration of 1.5 mg per liter gave the highest shoot at 12.5 shoots/explant. MS medium supplemented with NAA at concentration of 1.5 mg per liter culture on condition without activated charcoal gave the highest number of root 5.78 roots/explant and root 4.07 centimeter. Plantlet nursery of pummel cv. Taptimsiam derived from tissue culture by bring plantlet were wash and dip the roots in the kantara. Planting in pots with sand, mixed with rice husk at the ratio 1:1 using plastic bags to cover the pots and placed in the nursery at 50 percent sunlight for 1 month gave survival rate 80 percent. The plantlet of pummel cv. Taptimsiam obtained from tissue culture and top plug in vitro using PCR / ELISA technique showed that all of primer used for the study the disease did not found the disease on Taptimsiam grapefruit in all kinds of rootstock. Keywords: Pummelo cv. Taptimsiam, Nakhon Sri Thammarat Province, Climate |
| รายละเอียดการนำไปใช้งาน | |
| เอกสาร Final Paper(s) |
|
ทีมวิจัย
หัวหน้าโครงการ
| ที่ | นักวิจัย | หน่วยงาน | ตำแหน่งในทีม | การมีส่วนร่วม (%) |
|---|---|---|---|---|
| 1 | สกุลรัตน์ หาญศึก | คณะเกษตรศาสตร์ ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช | หัวหน้าโครงการ | 100 |