โครงการวิจัย
การวิจัยและพัฒนาส้มจุกเพื่ออนุรักษ์พันธุ์พืชท้องถิ่นจังหวัดสงขลา
Research and Development the Neck Orange for Conservation of Local Plant in Songkla
รายละเอียดโครงการ
ปีงบประมาณ | 2562 |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ | |
ลักษณะโครงการ | โครงการใหม่ |
ประเภทโครงการ | โครงการชุด |
ประเภทงานวิจัย | โครงการประยุกต์ |
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 ตุลาคม 2561 |
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 30 กันยายน 2562 |
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) | 1 ตุลาคม 2561 |
ประเภททุนวิจัย | งบประมาณแผ่นดิน |
สถานะโครงการ | สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว) |
เลขที่สัญญา | 21970 |
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา | ไม่ใช่ |
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม | ไม่ใช่ |
บทคัดย่อโครงการ | ชุดโครงการนี้ประกอบด้วยชุดโครงการย่อย 6 โครงการ วัตถุประสงค์ของชุดโครงการเพื่อศึกษาองค์ ความรู้ของการผลิตส้มจุกและการอนุรักษ์พันธุ์ส้มจุกเป็นส้มพันธุ์พื้นเมืองของภาคใต้ ปรากฏผลการวิจัย ดังนี้ การศึกษาการแพร่ระบาดความสัมพันธ์ ระหว่างสภาพแวดล้อมกับระดับความรุนแรงของโรคสำคัญของส้มจุกในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา พบว่า การเกิดโรคแคงเกอร์ เฉพาะบนต้นตอที่เป็นมะนาวหรือต้นส้มโอเท่านั้น แต่ไม่พบการเกิดโรคแคงเกอร์ที่ต้นส้มจุก มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคบนส่วนของต้นตอคือ 2.14 เปอร์เซ็นต์ โรครากเน่าโคนเท่ากับ 2.14 เปอร์เซ็นต์ การเกิดโรคกรีนนิ่ง / โรคทริสเตซ่าของส้ม พบได้ทุกต้นของส้มจุก (จากการสังเกตด้วยตา) คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเกิดโรค 100 เปอร์เซ็นต์ (ไม่สามารถยืนยันได้โดย PCR) ในส่วนของโรคใบแก้วเกิดจากขาดธาตุสังกะสี หรืออาจเกิดจากหลายสาเหตุ เมื่อหาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่เป็นสภาพแวดล้อมได้แก่ ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และความสัมพันธ์ความรุนแรงของโรค รากและโคนเน่า แคงเกอ์ ทริสเตซ่า/กรีนนิ่ง และราดำของส้มจุก เมื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กัน ยกเว้นโรคราดำที่ปัจจัยความชื้นสัมพัทธ์มีความสัมพันธ์กันไปในทิศทางตรงกันข้ามในระดับปานกลาง เท่ากับ -0.14 ส่วนความสัมพันธ์การเกิดโรคที่สำคัญกับคุณภาพผลผลิตส้มไม่สามารถคำนวณได้เนื่องขาดข้อมูล ทั้งนี้เนื่องมาจากส้มจุกมีการติดผลน้อยมาก ไม่สามารถกระจายระดับความรุนแรงของโรคได้ การแยกเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์จากตัวอย่างในส่วนของดินบริเวณพื้นที่ปลูกส้มจุกสามารถแยกแบคทีเรียได้ทั้งหมด 205 ไอโซเลท จากการจำแนกกลุ่มแบคทีเรียอย่างหยาบตามลักษณะทางสัณฐานวิทยาหรือโคโลนีของแบคทีเรียที่เจริญบนอาหาร Nutrient Agar ได้ 5 กลุ่ม การทดสอบประสิทธิภาพของสารเคมีในการควบคุมเชื้อ Phytopthora parasitica ด้วยวิธี poisoning medium จำนวน 21 ชนิด จากร้านค้าเคมีภัณฑ์ในท้องถิ่น พบว่า สารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเส้นใยได้ดีที่สุด คือ hexaconazole, thiram และ tridemorph ยับยั้งการเจริญเชื้อสาเหตุโรคเท่ากับ 94.22 94.22 และ 90.44 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และยังพบว่าสารเคมีทดสอบ metalaxyl เป็นสารเคมีที่แนะนำให้ใช้ ไม่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Phytophthora parasitica ประสิทธิภาพของสารเคมีและเชื้อแบคทีเรียปฏิปักษ์ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Xanthomonas axonopodis pv. citri พบว่า streptomycin, ampicillin และ tetracycline สารประกอบทองแดง copper hydroxide และ copper oxychloride มีประสิทธิภาพในการยังยั้งการเจริญของเชื้อสาเหตุโรค และเชื้อปฏิปักษ์ Bacillus amyloliguefacien (KPS46) และ Paenibacillus pabuli (SW01/4) มีประสิทธิภาพในการยังยั้งการเจริญของเชื้อสาเหตุโรคแคงเกอร์ การจัดการที่เหมาะสมในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูส้มจุก โดยการศึกษาประชากรและความเสียหายที่เกิดจากแมลงศัตรูส้มจุก ดำเนินการในสวนส้มจุก อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา อายุ 7-10 ปี ระหว่างเดือน มกราคม 2561-พฤศจิกายน 2562 โดยในปี 2561 พบความเสียหายจากหนอนเจาะลำต้นส้มจุกมากที่สุดในเดือน กันยายน เฉลี่ย 1.13 ต้น/รู และพบหนอนชอนใบชนิด Phyllocnistis citrella Stainton มีจำนวนมากที่สุดในเดือนเมษายน เฉลี่ย 2.39 ตัว/ยอด โดยมีความเสียหายเฉลี่ย 16.67 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2562 พบจำนวนหนอนชอนใบมากที่สุดเดือนเมษายน เฉลี่ย 2.39 ตัว/ยอด โดยมีความเสียหายเฉลี่ย 16.67 เปอร์เซ็นต์ สำหรับแมลงวันทองที่พบมี 4 ชนิด ได้แก่ Bactrocera dorsalis, B. papaya, B. correcta และ B. carambolae โดยในปี 2561 พบจำนวนแมลงวันทองมากที่สุดเดือนธันวาคม เฉลี่ย 23.27 ตัว/กับดัก ความเสียหายเฉลี่ย 20.33 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2562 พบจำนวนแมลงวันทองมากที่สุดเดือนมกราคม เฉลี่ย 25.94 ตัว/กับดัก และความเสียหายเฉลี่ย 20.33 เปอร์เซ็นต์ สำหรับหนอนแก้วส้มพบชนิด Papilio demoleus malayanus wall โดยในปี 2561 พบจำนวนหนอนแก้วส้มมากที่สุด ในเดือนเมษายน เฉลี่ย 0.20 ตัว/ยอด ความเสียหายเฉลี่ย 1.73 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในปี 2562 พบหนอนแก้วส้มมากที่สุดเดือนตุลาคม เฉลี่ย 2.14 ตัว/ยอด ความเสียหายเฉลี่ย 5.22 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาความสัมพันธ์ของประชากรแมลงศัตรูส้มจุก กับปัจจัยสภาพอากาศ ด้านอุณหภูมิ ความเร็วลม ปริมาณน้ำฝน และความชื้นสัมพัทธ์ พบว่า ในหนอนชอนใบ พบอุณหภูมิ และความเร็วลม มีความสัมพันธ์กับประชากรหนอนชอนใบในทิศทางตรงกันข้าม ระดับต่ำมาก ( r=-0.18 และ r=-0.24) ส่วนปริมาณน้ำฝน และความชื้นสัมพัทธ์ มีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกัน ในระดับต่ำมาก ( r=0.20) และระดับปานกลาง ( r=0.56) ส่วนความสัมพันธ์ของประชากรแมลงวันทองกับปัจจัยสภาพอากาศ พบว่า อุณหภูมิ และความเร็วลม มีความสัมพันธ์กับประชากรในทิศทางตรงกันข้าม มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก( r=-0.28 และ r=-0.14 ตามลำดับ) ส่วนปริมาณน้ำฝน และความชื้นสัมพัทธ์ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน โดยปริมาณน้ำฝนมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r=0.56) และความชื้นสัมพัทธ์มีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำมาก (r=0.09) สำหรับความสัมพันธ์ของประชากรหนอนแก้วส้มกับปัจจัยสภาพอากาศ พบว่า อุณหภูมิ และความเร็วลม มีความสัมพันธ์กับประชากรหนอนในทิศทางตรงกันข้าม โดยอุณหภูมิ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ และความเร็วลมมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก ( r=-0.48, และ r=-0.34 ตามลำดับ) ส่วนปริมาณน้ำฝน และความชื้นสัมพัทธ์ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน โดยปริมาณน้ำฝน และความชื้นมีความสัมพันธ์กับประชากรหนอนในระดับต่ำ (r=0.11, และ r=0.09 ตามลำดับ ) ประสิทธิภาพของกรรมวิธีในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูส้มจุก ได้แก่ หนอนเจาะลำต้น หนอนชอนใบ แมลงวันทอง และ เพลี้ยหอย จากการศึกษา พบว่า จำนวนรอยเจาะจากหนอนเจาะลำต้น หลังการฉีดสารครั้งที่ 4 การไม่ใช้สารพบค่าเฉลี่ยจำนวนรูเจาะเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ 3.50 รู/ต้น ส่วนการใช้สารบาซิลัสทูริงเจนซิส คลอไพรีฟอส ไดคลอร์วอส และน้ำมันเบนซิน มีจำนวนรูเจาะเฉลี่ย 1.00 1.00 0.75 และ 0.00 รู/ต้น ตามลำดับ สำหรับประสิทธิภาพของกรรมวิธีเปรียบเทียบกับการไม่ใช้สาร พบว่า การใช้น้ำมันเบนซิน มีประสิทธิภาพสูงสุด(100 เปอร์เซ็นต์) รองลงมาคือ ไดคลอร์วอส บาซิลัสทูริงเจนซิส และคลอไพริฟอส มีประสิทธิภาพ 75.51 68.47 และ 64.84 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ประสิทธิภาพของกรรมวิธีในการป้องกันกำจัดหนอนชอนใบ พบว่า การใช้อิมิดาโคลปิด มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ 83.61 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ไซฟลูธริน น้ำมันปิโตรเลียม ยาสูบ และสารสกัดจากสะเดาไทย เฉลี่ย 75.59 69.36 67.09 และ 33.20 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ส่วนกรรมวิธีในการป้องกันกำจัดแมลงวันทอง พบว่า การห่อผลมีประสิทธิภาพของกรรมวิธีดีที่สุด คือ 97.61 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ การฉีดพ่นด้วยอะบาเมกติน คาร์โบซันแฟน อิมิดาโคลปิด ปิโตรเลียมออยล์ สารสกัดจากสะเดาไทย และสารสกัดจากข่า มีประสิทธิภาพของกรรมวิธี 92.14 91.51 87.38 65.59 58.27 และ 49.17 เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับการไม่ใช้สาร สำหรับกรรมวิธีในการป้องกันกำจัดเพลี้ยหอย พบว่า การใช้สารไซฟลูธรินมีประสิทธิภาพดีที่สุด คิดเป็น 77.39 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ อิมิดาโคลปิด ปิโตรเลียมออยล์ สารสกัดจากเมล็ดสะเดาไทยและยาสูบมีประสิทธิภาพคิดเป็น 70.82 29.68 26.13 และ 9.98 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เปรียบเทียบกับการไม่ใช้สาร การเจริญเติบโตและการพัฒนาของผลส้มจุกที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวภายใต้สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน วางแผนการทดลองแบบ 2x5 แฟกทอเรียล ตามแผนการทดลองแบบสุ่มตลอด ( CRD ) ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ทำการทดลอง จำนวน 10 ซ้ำ ดังนี้ 1.ช่วงเวลาที่ต่างกันของการเก็บเกี่ยวในรอบปี (ต้นปี และปลายปี) 2. อายุการเจริญเติบโตและการพัฒนาของผล 5 ระยะ ( 5, 6 , 7 , 8 และ 9 เดือน) ทำการทดลอง ณ สวนส้มจุก ตำบลบ้านนา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เริ่มทำการทดลองในเดือนมกราคม 2561 ถึง กันยายน 2562 ผลการทดลอง พบว่า การเจริญเติบโตและการพัฒนาของผลส้มจุกในช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวต้นปี มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับช่วงเวลาของเก็บเกี่ยวปลายปี การพัฒนาด้านน้ำหนักผล (กรัม) น้ำหนักเปลือก (กรัม) น้ำหนักเนื้อ (กรัม) เส้นผ่าศูนย์กลางของผลไม้ (ซม.) และเส้นรอบวง (ซม.) ได้ดีกว่าช่วงปลายปี ด้านคุณภาพของผลในช่วงการเก็บเกี่ยวต้นปีมีค่าของแข็งที่ละลายน้ำได้(TSS), ค่าปริมาณกรดที่ไตรเตรทได้(TA) และอัตราส่วน TSS : TA สูงกว่าการเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี อายุผลส้มจุกที่ 5, 6 , 7, 8 และ 9 เดือน พบว่า อายุผลส้มจุกที่มีอายุ 7-8 เดือน มีเจริญเติบโตการพัฒนาด้านน้ำหนักผล (กรัม)น้ำหนักเปลือก (กรัม) น้ำหนักเนื้อ (กรัม), เส้นผ่าศูนย์กลาง (ซม.) และเส้นรอบ (ซม.) สูงสุด และคุณภาพของผลในด้านค่า TSS, TA และ TSS : TA สูงสุด การจัดการธาตุอาหารพืชที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตของส้มจุก ในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ระหว่าง เดือน เมษายน พ.ศ.2561 ถึง เดือน มีนาคม พ.ศ.2563 โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกอย่างสมบูรณ์ (RCBD) มี 5 ซ้ำๆ ละ 1 ต้น ประกอบด้วย 5 สิ่งทดลอง คือ (1) ใช้ปุ๋ยตามวิธีการของเกษตรกร (2) ใช้ปุ๋ยครึ่งหนึ่งของวิธีการของเกษตรกร (3) ใช้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดิน (4) ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยคอก) 50 กก./ต้น และ (5) ใช้ปุ๋ยอินทรีย์การค้า 50 กก./ต้น พบว่า น้ำหนักสดของผล ปริมาตรน้ำคั้นของผลส้มจุก และปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ในน้ำคั้นของผลส้มจุก มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p≤0.05) โดยผลผลิตของส้มจุกจากสิ่งทดลองที่ 3ซึ่งมีการใช้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดินมีความเหมาะสมที่สุดเนื่องจากมีคุณภาพผลผลิตดีกว่าสิ่งทดลองอื่นๆ คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของผล เท่ากับ 9.58 เซนติเมตร น้ำหนักสดของผล เท่ากับ 276.88 กรัม ความหนาของเปลือกผล เท่ากับ 0.44 เซนติเมตร ปริมาตรน้ำคั้นของผล เท่ากับ 179.33 มิลลิลิตร/ผล ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมดในน้ำคั้นของผล เท่ากับ 13.16 องศาบริกซ์ และปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ทั้งหมดในน้ำคั้นของผล เท่ากับ 0.64 เปอร์เซ็นต์ การผลิตต้นส้มจุกที่ปลอดโรคด้วยเทคโนโลยีชีวภาพโดยการขยายพันธุ์ส้มจุกด้วยการเพาะเลี้ยงชิ้นส่วนพืชภายในหลอดทดลองเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่นิยม ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ได้แก่ ชิ้นส่วนพืช สารควบคุมการเจริญเติบโต และอาหารที่ใช้ในการเลี้ยง โดยเริ่มจากการนำเนื้อเยื่อเจริญส่วนยอดเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS เติม BA (6-Benzyaladenine) เข้มข้น 2 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้จำนวนยอดเฉลี่ยสูงที่สุด คือ 3.33 ยอดต่อชิ้นส่วน และอาหารสูตร MS เติม NAA เข้มข้น 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ร่วมกับ BA เข้มข้น 2 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถสร้างแคลลัสได้ 40 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นศึกษาการเสียบยอดส้มจุกบนต้นตอบนต้นต้อส้ม 6 ชนิด ในหลอดทดลอง พบว่า ต้นตอส้มจุกที่ทำการเสียบยอดบนส้มจุกมีการเข้ากันได้มากที่สุดและสร้างยอดได้สูงสุด 8.8 ยอดต่อชิ้นส่วน ชนิดของอาหารที่เหมาะสมต่อการเพิ่มปริมาณยอดรวมของส้มจุก คือ อาหารแข็งสูตร MS เติม BA เข้มข้น 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร การวางเลี้ยงบนอาหารแข็งสามารถชักนำยอดได้สูงสุด 10.6 ยอดต่อชิ้นส่วน ระดับความเข้มข้นของสารควบคุมการเจริญเติบโตและวิธีการที่เหมาะสมในการชักนำรากของต้นส้มจุกในหลอดทดลอง พบว่า อาหารสูตร MS เติม NAA เข้มข้น 2.5 มิลลิกรัมต่อลิตร วางเลี้ยงในสภาพที่ไม่เติมผงถ่านให้จำนวนรากสูงสุด 2.91 รากต่อชิ้นส่วน และให้ความยาวรากสูงสุด 3.09 เซนติเมตร การอนุบาลต้นส้มจุกที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยการนำต้นส้มจุกที่เกิดรากและมีความแข็งแรงสมบูรณ์ ทำการล้างเอาอาหารวุ้นที่ติดรากออก ตัดใบออกบางส่วนแล้วจุ่มแช่รากในยากันรา และปลูกต้นส้มจุกในกระถางที่มีทรายผสมขี้เถาแกลบในอัตราส่วน 1:1 ใช้ถุงพลาสติกคลุมกระถาง นำไปวางอนุบาลในเรือนเพาะชำที่มีแสงแดดประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ต้นส้มจุกมีอัตราการรอดชีวิต 80 เปอร์เซ็นต์ การตรวจสอบต้นส้มจุกที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญส่วยยอดและการเสียบยอดในหลอดทดลองด้วยเทคนิค PCR พบว่า ไพรเมอร์ 16S rRNA gene ของเชื้อ C. Liberibacter asiaticus ที่นำมาศึกษาไม่พบการเกิดโรคบนส้มจุกจากการเพาะเลี้ยงปลายยอดและการเสียบยอดบนต้นตอส้มทุกชนิด ดังนั้นการผลิตส้มจุกให้ปลอดโรคด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญส่วนยอด จึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาโรคกรีนนิ่งและทริสเตซ่า และตรวจสอบด้วยเทคนิค PCR เพื่อยืนยันว่าต้นที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปลอดจากโรคก่อนนำไปปลูก ศึกษาลักษณะทางสรีรวิทยาบางประการของส้มจุกบนต้นตอพืชตระกูลส้ม 5 ชนิด ได้แก่ ส้มโอพื้นเมือง ส้มโอทองดี มะนาวควาย มะกรูด และส้มซ่า ที่ได้จากการเพาะเมล็ด เมื่อต้นกล้าอายุ 6 เดือน นำกิ่งพันธุ์ส้มจุกอายุ 5 เดือน ขนาดความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีตา 4-5 ตา มาต่อกิ่งแบบเสียบลิ่ม (cleft grafting) วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) หลังจากการต่อกิ่ง 24 เดือน พบว่า ความสูงต้นส้มจุกที่ใช้ส้มซ่าเป็นต้นตอมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือส้มโอพื้นเมือง ส้มโอทองดี มะนาวควาย และสุดท้ายคือมะกรูด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 126.20 112.80 107.40 106.20 และ 89.00 เซนติเมตร ตามลำดับ ความสูงเหนือรอยต่อต้นส้มจุกที่ใช้ส้มซ่าเป็นต้นตอมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือมะนาวควาย ส้มโอพื้นเมือง ส้มโอทองดี และสุดท้ายคือมะกรูด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 98.40 94.00 90.80 90.40 และ 61.40 เซนติเมตร ตามลำดับ จำนวนกิ่งต่อต้น ต้นส้มจุกที่ใช้มะนาวควายเป็นต้นตอมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือส้มซ่า ส้มโอทองดี ส้มโอพื้นเมือง และสุดท้ายคือมะกรูด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 19.20 17.00 14.80 13.80 และ 11.20 กิ่ง ตามลำดับ น้ำหนักสดใบต้นส้มจุกที่ใช้ส้มซ่าเป็นต้นตอมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือมะนาวควาย ส้มโอพื้นเมือง มะกรูด และสุดท้ายคือส้มโอทองดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.43 2.23 2.07 1.98 และ 1.97 กรัม ตามลำดับ และ น้ำหนักแห้งใบต้นส้มจุกที่ใช้ส้มซ่าเป็นต้นตอมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือมะนาวควาย ส้มโอพื้นเมือง มะกรูด และสุดท้ายคือส้มโอทองดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.08 1.04 1.03 1.00 และ 0.88 กรัม ตามลำดับ สำคัญ ส้มจุก อนุรักษ์ สงขลา |
รายละเอียดการนำไปใช้งาน | |
เอกสาร Final Paper(s) |
|
ทีมวิจัย
ที่ | นักวิจัย | หน่วยงาน | ตำแหน่งในทีม | การมีส่วนร่วม (%) |
---|---|---|---|---|
1 | ผศ. ทิพาวรรณ ทองเจือ | คณะเกษตรศาสตร์ ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช | หัวหน้าโครงการ | 100 |