โครงการวิจัย
การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ทางดิจิทัลเพื่อยกระดับมาตรฐานอาชีวศึกษาในพื้นที่ภาคใต้
Research and Development of Digital Learning Innovation for Raising up the Vocational Education Standard in the Southern Region
รายละเอียดโครงการ
ปีงบประมาณ | 2564 |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ | |
ลักษณะโครงการ | โครงการใหม่ |
ประเภทโครงการ | โครงการเดี่ยว |
ประเภทงานวิจัย | โครงการวิจัยและพัฒนา |
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 ตุลาคม 2563 |
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 30 กันยายน 2564 |
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) | 23 พฤศจิกายน 2563 |
ประเภททุนวิจัย | ทุน ววน. |
สถานะโครงการ | สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว) |
เลขที่สัญญา | |
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา | ไม่ใช่ |
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม | ไม่ใช่ |
บทคัดย่อโครงการ | พื้นที่ (Situation Review) และอธิบายความจำเป็นและความสำคัญที่โครงการวิจัยจะเข้าไปแก้ไขปัญหาสำคัญ/พัฒนาศักยภาพที่สำคัญ และระบุคำถามงานวิจัยของโครงการวิจัย) แผนบูรณาการ “การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ดิจิทัลเพื่อยกระดับมาตรฐานอาชีวศึกษาในพื้นที่ภาคใต้” เป็นแผนบูรณาการที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการขับเคลื่อนของประเทศในยุคอุตสาหกรรม 4.0 เนื่องจากปัจจุบันนี้ประเทศต้องการคนระดับกลางจำนวนมาก เพื่อป้อนงานเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆ โดยต้องการคนที่จบสายอาชีวศึกษา 50% จบปริญญาตรี 10% และอีก 40% เป็นแรงงานมัธยมหรือต่ำกว่า โดยสาขาที่กำลังขาดแคลนจำนวนมาก ได้แก่ สาขาช่างเชื่อม โดยเฉพาะช่างเชื่อมใต้บาดาล สาขายานยนต์ การท่องเที่ยวและการโรงแรม ซึ่งขาดแคลนสวนทางกับการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศ ยังไม่นับรวมสายปิโตรเลียม และสิ่งพิมพ์ต่างๆ ตลอดจนสาขาทางเทคโนโลยี แม้กระทั่งสายวิทยาศาสตร์ เพราะกินครึ่งของคนไทย เรียนสายสังคมเป็นหลัก ทั้งนี้จากสถิติการศึกษาต่อหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2552-2554 พบว่า มีเด็กเพียง 30% ที่เลือกเรียนต่อสายอาชีวะ และมีแนวโน้มว่าจะลดลง ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากกองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน ระบุว่า อุตสาหกรรมของไทยนั้นต้องการแรงงานสายช่างปีละ 1.8 แสนคน แต่กลับพบว่า ผู้เรียนสายนี้มีต่ำกว่าตลาดแรงงาน และเข้าสู่สายนี้เพียง 40 % จากการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของแรงงานอาชีวะขาดแคลนนั้น ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลและจำแนก สาเหตุของปัญหานี้ออกเป็นข้อย่อยๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย (อ้างอิงจากข้อมูลของ รศ.ดร. จอมพงศ์) สรุปได้ว่า 1. ค่านิยมของผู้เรียน-ผู้ปกครอง ปัญหาค่านิยมเป็นปัญหาแรกที่พูดถึงกัน เพราะหลายคนมักติดภาพว่า เด็กอาชีวะ คือ เด็กที่เรียนไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ หรือไม่มีเป้าหมายในชีวิต ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองเองก็ปลูกฝังความคิด ส่งเสริมให้บุตรหลานของตนเองเรียนสายสามัญมากกว่า และมีความเชื่อว่า การเรียนอาชีวะ จะต้องจบออกมาทำงานหนัก เป็นลูกจ้างเท่านั้น และยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า คนจบอาชีวะจะมีรายได้น้อย ทำงานหนัก มีหนทางในการเจริญก้าวหน้าน้อย แท้จริงแล้ว หัวหน้างานหลายๆ ด้านจบอาชีวะ นอกจากนี้ยังเรื่องของภาพลักษณ์เรื่องของความรุนแรง ซึ่งสถาบันรัฐบาลมีเด็กประมาณ 6 แสนคน เอกชน 4 แสน แต่ยังไม่ถึงพันคนที่มีปัญหาดังกล่าว การเรียนอาชีวะก็สามารถทำงานเงินเดือนสูงๆ ได้ เพราะมีทั้งค่าโอที และค่าอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถเป็นผู้ประกอบการธุรกิจได้อีกด้วย 2. มหาวิทยาลัยไทยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด การเพิ่มขึ้นของมหาวิยาลัยในไทยเพิ่มขึ้นกว่า 200 แห่ง เป็นหนึ่งในสาเหตุของปมปัญหานี้ กล่าวคือ ยิ่งมีมหาวิทยาลัยมากขึ้น โอกาสเด็กเรียนในระดับอุดมศึกษาก็เพิ่มขึ้นตามด้วย ซึ่งส่วนนี้เชื่อมโยงกับแนวคิดค่านิยมเช่นกัน หากเปรียบเทียบสัดส่วนจำนวนมหาวิทยาลัยกว่า 200 แห่งในประเทศไทยกับจำนวนประชากรกว่า 60 ล้านคนแล้ว ประเทศไทย ถือว่า มีมหาวิทยาลัยจำนวนมาก ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ มีประชากร 4 ล้านคน แต่กลับมีมหาวิทยาลัยเพียง 4 แห่งเท่านั้น หรือที่ฮ่องกง มีประชากรประมาณ 7 ล้านคน แต่มีมหาวิทยาลัยไม่เกิน 10 แห่ง และที่สำคัญ มีการจำกัดจำนวนที่นั่งในการเข้าศึกษาด้วย 3. ปัญหาสัดส่วนนโยบาย อาชีวะ-สามัญ เป้าหมายของการเพิ่มสัดส่วนเรียนสายอาชีวศึกษาต่อสายสามัญ 51 ต่อ 49 ภายในปีการศึกษา 2558 เป็นอีก 1 เป้าหมายที่คาดว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนนี้ได้ เบื้องต้นปีการศึกษา 2557 มีเป้าหมายสัดส่วนเป็น 45 ต่อ 55 ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องตระหนักและจริงจังในการกำหนดสัดส่วนการเข้าอาชีวะหรือสายสามัญ ยกตัวอย่างประเทศจีน สิงคโปร์ เขาทำให้ที่นั่งในมหาวิทยาลัยมีจำกัด เช่นเดียวกับที่นั่งของชั้นมัธยมศึกษาและเพิ่มจำนวนที่นั่งให้อาชีวะแทน” 4. ตลาดอาเซียน ช่องทางทำกินที่ไทยต้องเสี่ยง หรือไม่ ? โครงสร้างประเทศไทยเรา ต้องการคนจบอาชีวะศึกษามากกว่า รศ.ดร.จอมพงษ์ กล่าวต่อข้อคำถามที่ว่า เส้นทางอาชีพ หรือ Career Path ของเด็กอาชีวะศึกษาจะก้าวไกลแค่ไหนในอาเซียนวา โอกาสเติบโตในอาเซียนนั้น แน่นอนว่ามีความต้องการมากกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในตอนนี้เด็กไทยยังขาดเรื่องของ “ภาษา” ที่จะใช้ในการสื่อสารอยู่ ทั้งนี้ต้องเสริมหลักสูตร 2 ภาษา เข้ามาเสริมเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการสื่อสาร เพราะถ้าหากพูดภาษาไทยได้อย่างเดียว ก็สามารถทำงานที่ลาได้ที่เดียว นอกจากนี้จากข้อมูลจาก สำนักงานสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่ระบุว่า ในประเทศอาเซียน อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีแรงงานขนาดใหญ่ ส่วนไทยนั้นอยู่ในลำดับที่ 4 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า เมื่อเปิดอาเซียนแล้วจะมีการโยกย้ายแรงงานขนาดใหญ่ ที่แรงงานในแต่ละชาติจะไหลไปสู่ประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า นั่นหมายรวมถึงประเทศไทยด้วย ที่แรงงานในประเทศก็อาจจะโยกย้ายออกไป หากประเทศไทยไม่มีกฎหมายหรือปฏิบัติตามนโยบายในการส่งเสริมคนมาเรียนอาชีวะแล้ว เมื่อแรงงานลดลงเรื่อยๆ ก็ย่อมเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมที่อาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นได้ หากไม่ดำเนินการ ไม่ทำอะไรเลย ในอนาคตก็จะมีโอกาสขาดแคลนแรงงานมากขึ้น นอกจากอิมพอร์ตนักวิชาการจากประเทศอื่นมา แต่วิธีนั้นไม่ยั่งยืน เพราะเขาเองก็ต้องพัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเองอยู่แล้ว มีการต้องการแรงงานเช่นกัน 5. สอศ. เร่งกระตุ้นเด็กหันเรียน “อาชีวะ” มากขึ้น อีกมุมมองของหน่วยงานภาครัฐ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา (สอศ.) จะเร่งดำเนินดำเนินการในเรื่องต่างๆ ตามนโยบายเพื่อสร้างค่านิยมในการเรียนต่อสายอาชีพ เพราะที่ผ่านมาเด็กเรียนต่อสายอาชีวะน้อยมาก ทั้งที่ตลาดแรงงานต้องการสูง ดังนั้น แผนบูรณาการ “การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ทางดิจิทัลเพื่อยกระดับมาตรฐานอาชีวศึกษาพื้นที่ภาคใต้” มีกรอบแนวคิดของแผนการดำเนินงาน ซึ่งมีความเชื่อมโยงของแผนงานย่อยภายใต้แผนงานหลักที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปสู่การปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทางด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา ในระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2555- 2569) กล่าวคือ มีการวางแผนการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ การผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาของคณะอนุกรรมการการอาชีวศึกษาด้านการวางแผนเชิงรุก เป้าหมายการผลิตและแผนพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพผู้สำเร็จอาชีวศึกษาเป็นสำคัญ โดยมุ่งปรับปรุงปัจจัยสนับสนุนและกระบวนการจัดการอาชีวศึกษาโดยใช้การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ทางดิจิทัลเพื่อยกระดับมาตรฐานอาชีวศึกษาพื้นที่ภาคใต้เพื่อให้เกิดคุณภาพด้านต่างๆ |
รายละเอียดการนำไปใช้งาน | |
เอกสาร Final Paper(s) |
|
ทีมวิจัย
ที่ | นักวิจัย | หน่วยงาน | ตำแหน่งในทีม | การมีส่วนร่วม (%) |
---|---|---|---|---|
1 | ดร. วาสณา บุญส่ง | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | หัวหน้าโครงการ | 30 |
2 | ผศ. กรภัทร เฉลิมวงศ์ | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 10 |
3 | ผศ.ดร. ฉารีฝ๊ะ หัดยี | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 5 |
4 | ดร. บุษราคัม ทองเพชร | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 15 |
5 | ดร. พิชิต เพ็งสุวรรณ | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 5 |
6 | ไชยยะ ธนพัฒน์ศิริ | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 20 |
7 | มณฑนรรห์ วัฒนกุล | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 5 |
8 | ธนัสถ์ นนทพุทธ | คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 10 |