โครงการวิจัย
วัฒนธรรมบนท้องถนน สู่การใช้รถจักรยานยนต์วิถีใหม่
Thais Road Culture to New Normal of Using Motorcycles
รายละเอียดโครงการ
ปีงบประมาณ | 2566 |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ | |
ลักษณะโครงการ | โครงการใหม่ |
ประเภทโครงการ | โครงการเดี่ยว |
ประเภทงานวิจัย | โครงการวิจัยและพัฒนา |
วันที่เริ่มโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 1 ตุลาคม 2565 |
วันที่สิ้นสุดโครงการวิจัย (พ.ศ.) | 30 กันยายน 2566 |
วันที่ได้รับทุนวิจัย (พ.ศ.) | 25 เมษายน 2566 |
ประเภททุนวิจัย | ทุน วช. |
สถานะโครงการ | สิ้นสุดโครงการ(ส่งผลผลิตเรียบร้อยแล้ว) |
เลขที่สัญญา | |
เป็นโครงการวิจัยที่ใช้ในการจบการศึกษา | ไม่ใช่ |
เป็นโครงการวิจัยรับใช้สังคม | ไม่ใช่ |
บทคัดย่อโครงการ | ความไม่ปลอดภัยในสัญจรพางถนนได้ถูกกล่าวถึงในเวทีระดับนานาชาติและระดับโลกมาอย่างต่อเนื่องและหนึ่งปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน กรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.ศ. 2561-2580)จึงได้ถูกประกาศขึ้น โดยมีเกณฑ์หนึ่งที่ท้าทายคือ ต้องลดจำนวนการตายลงให้เหลือ 12 คนต่อแสนประชากรในปี 2569 ให้ได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 26.6 คน/แสนประชากร (พ.ศ.2565) จากการทบทวนพบปัญหาทั้งไปเชิงโครงสร้างที่ยังขาดความสมบูรณ์ในระบบ ประชาชนยังขาดการตระหนักรู้จริงหรือการรับรู้ข้อมูลของภัยใกล้ตัวในขณะขับขี่น้อยเกินไปมีทัศนคติที่ส่งต่อไปถึงพฤติกรรมเสี่ยงหลายอย่าง จึงยังยังผลทำให้สถิติติอุบัติเหตุนั้นอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่องอยู่คณะวิจัยจึงทำการศึกษาปัญหาในกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญโดยโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์สัญจร โดยมุ่งแก้ไขไปที่ชุมชนชนบทเปรียบเทียบกับชุมชนเมืองผ่านการสำรสำรวจจากแบบสอบถาม พบว่า ทัศนคติและอิทธิพธิพลต่อความเชื่อจะมีผลต่อพฤติกรรม ซึ่งก็รู้ว่าจะขับขี่รถจักรยานยนต์ดีขึ้นได้อย่างไรก็ตาม แต่ด้วยข้อจำกัดจึงจำเป็นต้องเป็นไปตามวัฒนธรรมแบบนี้ (ปัจจุบัน) ที่ซึ่งมีองค์ประกอบแฝง เช่น ช็ดความสามารถทางสังคมของคนในชุมชนอายุและช่วงวัย อีกทั้งระดับความรู้/การศึกษาที่ไม่สามารถไปแข่งขันเหมือนกับคนในชุมชนเมืองได้ จึงเลือกได้แค่สิ่งที่ทำได้เท่านั้น ชุมชนเมือง ผู้ใช้รถส่วนใหญ่มีใบขับขี่ และอยู่ในช่วงวัยรุ่นนักศึกษา วัยกลางคน และวัยทำงาน ส่วน ใหญ่ของระดับการศึกษาจะจบปริญญาตรีกว่า 4596 รายได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 12,500 บาพ/เดือน มีใบอนุญาตขับขี่กว่า75 เปอร์เซ็นต์ การสวมใส่หมวกนิรภัยเกือบจะทุกครั้งเป็นคำตอบที่มากที่สุด สาเหตุที่โดนจับเกิดจากการขับรถย้อนศรมากที่สุด ประเมินความสมบูรณ์ของรถ (96) ดีกว่าในชุมชนชนบท 3 เท่า ยานพาหนะมีการต่อภาษีประจำปีกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ชุมชนชนบท ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ไม่มีใบขับขี่ อยู่ในช่วง 46-60 ปีมากที่สุด ระดับการศึกษาต่ำกว่า ป.ตรี กว่า70 96 รายได้เฉลี่ยอยู่ไม่เกิน 9,500 บาพ/เดือน มีใบอนุญาตประมาณ 60 96 การสวมใส่หมวกนิรภัยบางครั้งเป็นคำตอบที่มากที่สุด สาเหตุที่โดนจับเกิดจากไม่มีใบขับขับขี่ ยานพาหนะมีการต่อภาษีประจำปีกว่า 70 96 และอีก 30 96ไม่ได้นำไปต๋อภาษีและเพราะรถอยู่ในสภาพเก่าแล้ว ถ้านำไปตรวจสภาพก่อนต่อภาษี ก็คงไม่ผ่าน สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากชนสัตว์มากที่สุด จึงได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนเชิงรุกใหม่ คือต้องสร้างบรรทัดฐานวิถีใหม่ที่ดีขึ้นมาใหมในการใช้รถจักรยานยนต์สัญจร ซึ่งควรเริ่มต้นจากตัวเรา ชุมชนจะต้องช่วยเหลือตนเอง สร้างความ ร่วมมือกับหน่วยงาน มึงบประมาณเข้าชุมชน การทำงานแบบเข้าถึงของหน่วยงานรัฐ ร่วมกันเป็นระบบวิถีที่ปลอดภัย พร้อมกันนั้น ต้องได้สร้างคู่มือชี้น้ำแนวทาง แนวคิดที่ได้ดำเนินการแล้วเห็นผลจากต่างประเทศ จากองค์การอนามัยโลก แนวคิดที่ทันต่อยุคสมัยในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนนให้กับชุมชนได้นำไปประยุกต์ใช้ต่อได้ |
รายละเอียดการนำไปใช้งาน | ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ขยายผล นำคู่มือและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ได้พัฒนาขึ้น เข้าไปนำเสนอผลการดำเนินงานต่อศูนย์ปลอดภัยทางถนนจังหวัด เพื่อสรุปผลการดำเนินงาน และบรรจุให้มีโครงการนี้อยู่ในแผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดสงขลา พ.ศ.2567 ต่อเนื่องไปเสนอให้มีการขยายผล โดยเข้าไปหารือกับผู้นำชุมชน เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยให้กับชุมชนของตนเองตามกระบวนการที่ได้ทำการศึกษาไว้ พร้อมทั้งหาแหล่งทุนเพื่อนำมาขับเคลื่อนให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษา ชุมชนที่พื้นที่จังหวัดสงขลามีการขยายผลการดำเนินการเพื่อยกระดับความปลอดภัยในพื้นที่ตนเอง ที่อย่างน้อยเป็นไปตามบางกระบวนการศึกษาที่เคยดำเนินการนำร่องเป็นต้นแบบไว้ให้แล้ว |
เอกสาร Final Paper(s) |
|
ทีมวิจัย
ที่ | นักวิจัย | หน่วยงาน | ตำแหน่งในทีม | การมีส่วนร่วม (%) |
---|---|---|---|---|
1 | ชลัท ทิพากรเกียรติ | คณะวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | หัวหน้าโครงการ | 40 |
2 | ดร. นรบดี สาละธรรม | กรมทางหลวง | ผู้ร่วมวิจัย | 50 |
3 | ผศ.ดร. ณัฐนีภรณ์ น้อยเสงี่ยม | คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ราชมงคลศรีวิชัย สงขลา | ผู้ร่วมวิจัย | 10 |